Keputusan seseorang untukลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประเภทของเครื่องมือการลงทุนที่มีอยู่ในตลาด ตราสารทุน เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีความยินดีที่จะรับความเสี่ยงระดับสูงกว่า และต้องการแบ่งเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของกิจการ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจลักษณะของตราสารทุนและความแตกต่างระหว่างตราสารประเภทต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน
Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Perbedaan antara investasi: Pahami dengan baik ekuitas, obligasi, dan saham
Keputusan seseorang untukลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประเภทของเครื่องมือการลงทุนที่มีอยู่ในตลาด ตราสารทุน เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีความยินดีที่จะรับความเสี่ยงระดับสูงกว่า และต้องการแบ่งเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของกิจการ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจลักษณะของตราสารทุนและความแตกต่างระหว่างตราสารประเภทต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน
การรู้จัก ตราสารทุน ในรายละเอียด
ตราสารทุน (Equity) คืออะไร
ตราสารทุน หมายถึงกระบวนการที่ผู้ลงทุนมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการหรือบริษัท โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการถือครองหน่วยหุ้นของบริษัตนั้น ๆ การลงทุนประเภทนี้มีลักษณะเสี่ยงสูงกว่าเมื่อเทียบกับตราสารอื่น เนื่องจากหากบริษัทเผชิญกับสถานการณ์ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะได้รับอัตราชำระคืนเงินหลังจากเจ้าหนี้ได้รับเงินไปแล้ว
การเลือกลงทุนในตราสารทุนนั้น จำเป็นที่ผู้ลงทุนต้องศึกษาเกี่ยวกับความมั่นคงของธุรกิจ ศักยภาพการเติบโต และประวัติการดำเนินงาน แม้ว่าจำนวนเงินลงทุนอาจไม่มากมายนัก แต่การติดตามและวิเคราะห์การทำงานของบริษัติคือส่วนสำคัญในการลงทุนแบบนี้
ประเภทของตราสารทุนมีกี่ชนิด
หุ้นสามัญ (Common Stock) แสดงถึงความเป็นเจ้าของของบริษัท ผู้ถือสิทธิได้รับเงินปันผลจากผลมูลค่า และมีสิทธิในการออกเสียงขณะประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ ในกรณีที่บริษัทปิดการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับคืนทุนหลังจากผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ
หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นตราสารที่มีความเป็นเจ้าของควบคู่ไปกับสิทธิการรับปันผลในอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามลักษณะของตราสาร ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียง แต่จะได้รับความเห็นแก่ในการคืนเงินกลับมาก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
นอกจากนี้ยังมี ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) และประเภทอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนในรูปของปันผลหรือส่วนต่างของราคาขายต่อ กิจการออกตราสารเหล่านี้เพื่อระดมเงินทุนสำหรับการขยายกิจการ
ตลาดที่ซื้อขาย ตราสารทุน
ตลาดการลงทุนในตราสารทุนแบ่งออกเป็นสองส่วนสำคัญ
ตลาดแรก (Primary Market)
เป็นช่องทางที่บริษัทสร้างและเสนอตราสารออกมาเพื่อให้นักลงทุนสามารถซื้อได้โดยตรง ตราสารในช่วงแรกนี้ยังไม่เคยออกจำหน่ายมาก่อน
การเสนอขายส่วนตัว (Private Placement - PP) บริษัทสามารถเสนอให้กับนักลงทุนจำนวนไม่เกิน 35 คน ในระยะเวลา 12 เดือน หรือเสนอให้กับสถาบันการเงินตามข้อกำหนด
การเสนอขายต่อสาธารณะ (Public Offering - PO) บริษัทต้องขอใบอนุญาตและสำเร็จเจาะจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะออกขายในตลาด
ตลาดรอง (Secondary Market)
เป็นตลาดที่ตราสารได้รับการออกจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว ผู้ถือสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือระหว่างกัน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทุนลงทุน 300 ล้านบาทขึ้นไป
Market for Alternative Investment (MAI) สำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพ ทุนตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป
ตลาด OTC (Over-the-Counter) ที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำการซื้อขายโดยตรง
กองทุนรวม: การลงทุนที่ง่ายขึ้น
กองทุนรวม (Mutual Fund Securities) คือการรวมตัวของเงินลงทุนจากผู้ลงทุนหลายๆ คนเพื่อสร้างสินทรัพย์พอร์ตต่างๆ ที่มีความหลากหลาย โดยมีผู้บริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญดูแลการลงทุนเหล่านี้
การรวมตัวของเงินจะถูกนำไปลงทุนในตลาดต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หรือตราสารชนิดอื่นตามตัวอักษรของกองทุนนั้น ผู้ลงทุนแต่ละคนจะมีหน่วยลงทุน (Unit) ที่แทนส่วนแบ่งของกองทุน มูลค่าของหน่วยลงทุนจะไม่คงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงตามมูลค่ารวมของทรัพย์สินในกองทุน
ประโยชน์ของกองทุนรวมคือ ผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาหรือความรู้ในการติดตามตลาดสามารถมอบหมายให้ผู้บริหารงานของกองทุนทำได้ ทำให้ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการหารายได้
เปรียบเทียบประเภท ตราสารทุน ตราสารหนี้ และหุ้น
ตราสารหนี้ (Debt Securities) คืออะไร
ตราสารหนี้ แสดงถึงสถานะที่ผู้ลงทุนเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท หรือรัฐบาล ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสูง แต่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับอายุของตราสารและความสามารถในการจ่ายของผู้ออกตราสาร
ตราสารหนี้ที่ออกจากภาคส่วนรัฐ เช่น หน่วยงานภาครัฐ มักมีผลตอบแทนต่ำกว่า ส่วนตราสารหนี้ที่ออกจากภาคเอกชน เช่น ตั๋วแลกเงิน พันธบัตรสถาบัน มักให้ผลตอบแทนสูงกว่า
หุ้นคือเอกสารประกอบ
หุ้น เป็นเอกสารแสดงสิทธิทางการเงินและความเป็นเจ้าของในบริษัท วิธีหนึ่งที่บริษัทใช้ในการระดมเงินทุนจากสาธารณชนเพื่อใช้ในการขยายการดำเนินงาน หุ้นถูกแบ่งออกเป็นหน่วยเล็กๆ และผู้ที่ซื้อหน่วยหุ้นเหล่านั้นจะกลายเป็นเจ้าของตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่
จุดแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด
ด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน
เมื่อลงทุนในตราสารทุน ผู้ลงทุนได้รับสิทธิในการแบ่งปันผลกำไรและมีส่วนในการตัดสินใจ แต่จำต่อเนื่องกับสถานะของตลาด ราคาสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ มากมาย ส่วนตราสารหนี้ สถานะของผู้ลงทุนคือเจ้าหนี้ ดังนั้นความเสี่ยงจึงต่ำกว่า แต่ผลตอบแทนก็อาจจะต่ำกว่าด้วย
ด้านลักษณะสัญญา
ผู้ถือหุ้นไม่มีสัญญาทางการเงินแบบเป็นทางการเหมือนตราสารหนี้ ความสัมพันธ์นั้นมีลักษณะทางธุรกิจและการควบคุมมากกว่า ส่วนตราสารหนี้ คือสัญญาทางการเงินที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการชำระเงิน อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขต่างๆ
ด้านการชำระคืน
ผู้ถือตราสารทุนไม่ได้รับการชำระเงินแบบสม่ำเสมอ ผลกำไรจะถูกแจกจ่ายในรูปปันผลหรือการเพิ่มมูลค่า ส่วนตราสารหนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยและการคืนเงินต้นตามเงื่อนไขของสัญญา
ประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุนตราสารทุน
การจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญในตลาดช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ต้องมีความรู้ลึกเกี่ยวกับตลาดทุน
ตราสารทุนรวมถึงประเภทต่างๆ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
การกระจายการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในทรัพย์สินชนิดเดียว
ความสะดวกในการซื้อขายหน่วยลงทุนโดยไม่ต้องเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง
ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนโดยตรง เนื่องจากการกระจายสินทรัพย์
โอกาสในการได้รับปันผลประจำปีหรือเป็นระยะเวลากำหนด
ความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
เมื่อลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ ความเสี่ยงสำคัญคือ ความผันผวนของราคาที่อาจเบี่ยงเบนไปจากคาดการณ์
เมื่อลงทุนในหุ้นสามัญ ความเสี่ยงประกอบด้วย ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ ความสามารถในการชำระเงินปันผล ปัญหาด้านกฎหมาย และการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ที่ไม่ลังเล ซึ่งทั้งหมดนี้อาจสร้างความเสี่ยงต่อการลงทุน
สรุปและคำแนะนำ
การลงทุนใน ตราสารทุน ต้องใช้ความมั่นใจในการเลือกธุรกิจที่มีความเสถียร มีความสามารถในการเติบโต และเข้าใจด้านการบริหารจัดการที่ดี ผู้ลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาธุรกิจที่ต้องการลงทุน แม้ว่าจำนวนเงินอาจไม่มาก แต่การมีส่วนในการเติบโตของธุรกิจคือความคาดหวังที่สำคัญ
นอกจากนี้ ควรประเมินผลการลงทุนทุก ๆ 3-6 เดือนเพื่อปรับปรุงสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับปัจจุบัน การเลือกลงทุนประเภทที่เหมาะสมกับสภาพของตัวเองจะช่วยให้การลงทุนสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้