บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Tesla, SEA Group และสตาร์ทอัพจำนวนมากชอบเน้นตัวเลข EBITDA มากกว่า Net Income เพราะบริษัทเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงการเติบโต
ทำไมถึงสำคัญต่อนักลงทุน?
EBITDA ให้สิ่งที่ Raw มากขึ้น - ความสามารถของธุรกิจในการสร้างเงินสดจากการดำเนินงานหลัก โดยไม่ต้องคิดถึงมติการจัดการทางการเงิน นโยบายบัญชี หรือสถานการณ์ภาษีของแต่ละประเทศ
ด้วยเหตุนี้ EBITDA จึงเป็นตัวเลขที่ใช้เปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ค่อนข้างดี ตัวอย่างเช่น หาก บริษัท A มีค่า EBITDA สูงกว่า บริษัท B ก็บอกได้ว่า A มีความสามารถในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า
ตัวเลขนี้บอกว่า THAI PRESIDENT FOODS สร้างกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ) ได้กว่า 7.2 พันล้านบาทในปีนั้น
ค้นหา EBITDA ได้จากไหน?
ส่วนใหญ่ EBITDA ไม่ได้ปรากฏเป็นรายการอย่างเป็นทางการในงบการเงิน แต่บริษัทบางแห่งไว้ในรายงานประจำปี เช่น บริษัท MINOR INTERNATIONAL มักแสดงตัวเลขนี้อย่างชัดเจน
วิธีใช้ที่ถูก: พิจารณา EBITDA ร่วมกับ Net Income, Cash Flow, Debt Ratio และตัวเลขอื่น ๆ มาด้วย เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ของบริษัทที่คุณสนใจ
Ver original
Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
EBITDA não é tão simples quanto parece - Por que Buffett é cauteloso, mas os investidores ainda precisam saber?
Warren Buffett เตือนให้ระวัง EBITDA
นักลงทุนตำนาน Warren Buffett เคยแสดงความไม่พอใจต่อการใช้ EBITDA เป็นตัวชี้วัดหลักในการประเมินบริษัท เหตุผลคือ ตัวเลขนี้อาจทำให้เห็นภาพที่สวยงามเกินความจริง ซึ่งอาจนำให้นักลงทุนวิจารณ์ผิด แต่ทำไม นักลงทุนในระดับต่าง ๆ ยังคงพิจารณา EBITDA อยู่เรื่อย ๆ?
คำตอบนั้นอยู่ที่การเข้าใจว่า EBITDA คืออะไร จำกัดการใช้อย่างไร และควรนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลอื่นอย่างไร
EBITDA คืออะไร จริง ๆ แล้ว?
EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization หมายความว่า ทำกำไรมาก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
ในเรื่องธรรมชาติ EBITDA คือ “กำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสดแท้ ๆ” ของธุรกิจ ซึ่งใช้ดูว่าจากการขายสินค้าหรือบริการ บริษัทได้รับรายได้แท้เท่าไหร่ ก่อนต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ
บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Tesla, SEA Group และสตาร์ทอัพจำนวนมากชอบเน้นตัวเลข EBITDA มากกว่า Net Income เพราะบริษัทเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงการเติบโต
ทำไมถึงสำคัญต่อนักลงทุน?
EBITDA ให้สิ่งที่ Raw มากขึ้น - ความสามารถของธุรกิจในการสร้างเงินสดจากการดำเนินงานหลัก โดยไม่ต้องคิดถึงมติการจัดการทางการเงิน นโยบายบัญชี หรือสถานการณ์ภาษีของแต่ละประเทศ
ด้วยเหตุนี้ EBITDA จึงเป็นตัวเลขที่ใช้เปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ค่อนข้างดี ตัวอย่างเช่น หาก บริษัท A มีค่า EBITDA สูงกว่า บริษัท B ก็บอกได้ว่า A มีความสามารถในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า
แต่นี่คือจุดที่ต้องระวัง: EBITDA อาจสูงกว่า “กำไรสุทธิ” มากมายเพราะมันไม่หักค่าใช้จ่ายส่วนสำคัญหลายอย่าง แถมถ้าบริษัทขาดทุน ค่า EBITDA ก็ยังสามารถเป็นบวกได้
วิธีคำนวณ EBITDA
สูตรพื้นฐานคือ:
EBITDA = กำไรก่อนหักภาษี + ดอกเบี้ย + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
หรือพูดอีกแบบ:
EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
ตัวอย่างการคำนวณจริง
ขอยกตัวอย่างจากบริษัท THAI PRESIDENT FOODS ในปี 2563:
การคำนวณ: EBITDA = 5,997,820,107 + 2,831,397 + 1,207,201,652 + 8,860,374 = 7,216,713,530 บาท
ตัวเลขนี้บอกว่า THAI PRESIDENT FOODS สร้างกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ) ได้กว่า 7.2 พันล้านบาทในปีนั้น
ค้นหา EBITDA ได้จากไหน?
ส่วนใหญ่ EBITDA ไม่ได้ปรากฏเป็นรายการอย่างเป็นทางการในงบการเงิน แต่บริษัทบางแห่งไว้ในรายงานประจำปี เช่น บริษัท MINOR INTERNATIONAL มักแสดงตัวเลขนี้อย่างชัดเจน
ถ้าบริษัทที่คุณสนใจไม่ได้แสดงไว้ คุณก็สามารถคำนวณเองได้ โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินทั่วไป
ใช้ EBITDA อย่างไรให้เหมาะสม
EBITDA นำไปใช้ได้ดีที่สุดในการวิเคราะห์:
ความสามารถในการชำระหนี้ - EBITDA ต่อดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายบอกว่าบริษัทสามารถจ่ายค่าอื่น ๆ ได้หลายเท่า ยิ่งสูงยิ่งดี
เปรียบเทียบภายในอุตสาหกรรม - เมื่อเทียบบริษัทประเภทเดียวกัน EBITDA ให้ภาพที่ค่อนข้างยุติธรรม
ในระยะสั้น - แนะนำให้ดู EBITDA สำหรับช่วง 1-2 ปี ไม่ใช่ระยะยาว เพราะค่าเสื่อมราคาจะมีผลต่อเงินสดจริง ๆ อยู่ดี
EBITDA Margin - เมตริกที่ดีกว่า
EBITDA Margin = EBITDA ÷ รายได้ทั้งหมด × 100
เมตริกนี้บอกว่า “จากทุก 100 บาทที่บริษัทขาย มากำไรได้เท่าไหร่ก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”
EBITDA Margin ที่ดี ควรมากกว่า 10% ขึ้นไป ยิ่งสูงก็ยิ่งดี และบ่งชี้ว่าบริษัทมีความเสี่ยงน้อยลง
EBITDA กับ Operating Income ต่างกันอย่างไร?
Operating Income คือ “รายได้จากการดำเนินงาน” หรือ “กำไรจากการดำเนินงาน” ซึ่งได้มาจากการขายสินค้าและบริการ เป็นรายได้หลักของธุรกิจ
สูตร: Operating Income = รายได้รวม - ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ความแตกต่างหลัก:
EBITDA ไม่หักค่าใช้จ่าย เช่น ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ออกไป
Operating Income หักค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานทั้งหมดออกไป รวมถึงตัวเลขเหล่านี้ด้วย
ความหมายคือ EBITDA มองว่า “ธุรกิจทำเงินได้เท่าไหร่ในลำพัง” ในขณะที่ Operating Income มองว่า “ธุรกิจเหลือเท่าไหร่หลังจากจ่ายตัวเลขสำคัญต่าง ๆ”
ข้อควรระวังเมื่อใช้ EBITDA
EBITDA คือตัวเลขที่ดัดแปลงได้
เนื่องจากมีการบวกค่าต่าง ๆ เข้าไป บริษัทบางแห่งอาจแต่งความเห็นเพื่อให้ EBITDA ดูดีเกินไป ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่เท็จ
ไม่ได้สะท้อนสภาพคล่องจริง
EBITDA ไม่สนใจว่าบริษัทต้องจ่ายหนี้เท่าไหร่ หรือค่าใช้จ่ายทางการเงินแท้ ๆ มีมากขนาดไหน ดังนั้นบริษัทที่ดูมี EBITDA สูง อาจหลังจากหักค่าต่าง ๆ แล้ว เหลือเงินน้อยมาก หรือแม้ขาดทุนต่อมาได้
EBITDA ไม่ได้บอกเรื่องการบริหารที่ดี
ค่าใช้จ่ายที่หักออกไป เช่น ดอกเบี้ยและภาษี ไม่ใช่เพิ่มเติมหลวก - มันคือค่าใช้จ่ายที่เจ้าของต้องควบคุมให้พอเหมาะ นักลงทุนที่ฉลาดต้องดูทุกตัวเลขนี้ด้วยเพราะมันสะท้อนการบริหารของจริง
ตัวเลขอาจถูกจัดการได้
การคำนวณ EBITDA มีช่องว่างเพื่อแต่งตัวเลข เพราะฉะนั้นการอาศัย EBITDA เพียงอย่างเดียวจึงอันตราย
สรุปสั้น ๆ
EBITDA ให้มุมมองที่ดีในการดู “ความสามารถของธุรกิจในการสร้างเงินสด” โดยไม่ได้รบกวนจากเรื่องการจัดการทางการเงิน ภาษี หรือนโยบายบัญชี
แต่ว่า หากพึ่ง EBITDA เพียงอย่างเดียวแล้วตัดสินใจลงทุน ก็เสี่ยงที่จะเห็นภาพที่ไม่ใช่ความจริง Warren Buffett ไม่ชอบ EBITDA เพราะสาเหตุเดียวกัน - มันป้องกัน “สภาพคล่อง” และ “ความเป็นจริงของธุรกิจ” ออกไป
วิธีใช้ที่ถูก: พิจารณา EBITDA ร่วมกับ Net Income, Cash Flow, Debt Ratio และตัวเลขอื่น ๆ มาด้วย เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ของบริษัทที่คุณสนใจ