Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Por que é que o ouro está a subir? Por que o preço ultrapassou os 4.000 dólares e ainda continua a subir
ช่วงปลายปี 2568 เป็นช่วงเวลาที่ทองคำทำให้ตลาดตะลึง เมื่อราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทะยานผ่านระดับจิตวิทยา 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปแล้ว วันที่ 20 ตุลาคม 2568 เป็นวาระประวัติศาสตร์ที่ราคาทองคำแตะจุดสูงสุดสายใหม่ที่ 4,181 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คำถามที่ลอยตัวในตลาดคือ ทำไมทองคำถึงขึ้นแรงแบบนี้ และสำคัญกว่านั้น มันจะขึ้นต่อไปหรือหยุดที่นี่?
ทำไมทองคำถึงขึ้นเพราะอะไร? มีหลายสาเหตุ
ความเร่งตัวขึ้นของทองคำไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลจากการลู่เข้ากันของแรงกดดันหลายด้านในเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าทำให้นักลงทุนขนลิบหันมาซื้อทองคำ
ความตึงเครียดทางการค้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 100% ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 การเคลื่อนไหวแบบนี้สร้างความไม่แน่นอนหลวงๆ ในเศรษฐกิจโลก ขณะที่จีนก็ตอบโต้ด้วยการขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยี ในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนจึงมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยที่สูงสุด และทองคำเป็นตัวเลือกแรก
ธนาคารกลางซื้อทองคำในปริมาณที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดคือการซื้อทองคำจำนวนมหาศาลจากธนาคารกลางต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2567 ธนาคารกลางทั่วโลกรวบรวมทองคำสุทธิมากกว่า 1,000 ตันต่อปีติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี และยังคงซื้อต่อเนื่องในปี 2568 การเคลื่อนไหวนี้เกิดจากกระแสการกระจายความเสี่ยงออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization) หลังจากเหตุการณ์อายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียในปี 2565 ทำให้ประเทศต่างๆ ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินเดียวเกินไป ผลลัพธ์ก็คือสำรองทองคำทั่วโลกแตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษที่ประมาณ 36,699 ตัน
ดอกเบี้ยลดลง ทองคำก็น่าดึงดูดขึ้น
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ย โดยลดลง 0.25% ในเดือนกันยายน 2568 และตลาดคาดว่าจะมีการลดลงต่อเนื่องในช่วงเดือนถัดๆ ไป ลำดับนี้ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับราคาทองคำ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ราคาทองคำเคลื่อนไหวตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ยจริง เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ (ซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย) ก็ลดลงตามไปด้วย
กลุ่ม BRICS เตรียมท้าทายดอลลาร์ด้วยสกุลเงินที่มีทองคำหนุน
ข่าวลือที่ลอยตัวในตลาดว่า BRICS กำลังเตรียมออกสกุลเงินดิจิทัลที่มีทองคำเป็นหลัก เพื่อใช้ในการซื้อขายระหว่างประเทศสมาชิก เป็นการท้าทายต่อโครงสร้างการเงินโลกที่นำโดยเงินดอลลาร์สหรัฐ การเคลื่อนไหวอย่างนี้จุดประกายความสนใจในทองคำเพิ่มเติมอีกหนึ่งชั้น
สถาบันการเงินชั้นนำมองว่าทองคำยังไปได้ไกลกว่านี้
เมื่อนักวิเคราะห์ของสถาบันการเงินระดับโลกโลกดำเนินการปรับเป้าหมายสูงขึ้น มันบ่งบอกถึงศรัทธาที่ลึกซึ้งต่อเส้นทางการขยายตัวของราคา
Goldman Sachs ได้เพิ่มเป้าราคาจาก 4,300 ดอลลาร์เป็น 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2569 นักวิเคราะห์ Lina Thomas ชี้ว่าแรงหลักมาจากความต้องการซื้อที่ปรมาณูชั้นจากธนาคารกลาง และการไหลเข้าของเงินทุนผ่านกองทุน ETF ทองคำ ไม่เพียงเท่านั้น Goldman Sachs ยังเพิ่มการคาดการณ์สำหรับสิ้นปี 2568 เป็น 3,300 ดอลลาร์ (จากเดิม 2,890 ดอลลาร์)
UBS เดิมคาดว่าทองจะไปถึง 3,500 ดอลลาร์ ภายในธันวาคม 2568 โดยยกให้เหตุผลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังสะสมทองคำในปริมาณที่สูงสุดในเรื่องราวของมัน นักยุทธศาสตร์ของ UBS ชื่อ Joni Teves ระบุว่า ธนาคารกลางเพิ่มสำรองทองคำกว่า 1,200 ตันเพียงในปี 2567 เพียงปีเดียว
ในประเทศไทย: ทองอาจขึ้นไปยัง 75,000-80,000 บาท
หากการคาดการณ์ของสถาบันการเงินระดับโลกเกิดเป็นจริง และทองคำวิ่งไปถึง 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อนำมาคำนวณเป็นราคาทองคำแท่ง 96.5% ของไทย ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาจะพุ่งแตะระดับ 75,000-80,000 บาทต่อบาททองคำ ภายในปี 2569 ซึ่งจะสูงขึ้นมากกว่าระดับปัจจุบันอย่างมาก
เตือนความสำคัญ: มีปัจจัยที่อาจทำให้ทองลดลงได้
แม้แนวโน้มจะเป็นขาขึ้น แต่มีสถานการณ์ที่อาจส่งให้ราคาทองพลิกกลับ
หากเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนสำเร็จและมีข่าวดีออกมา ความตึงเครียดที่ผลักให้นักลงทุนซื้อทองคำจะบรรเทาลง ราคาอาจพลิกตัวแบบไม่ทันตั้งตัว
หลังจากขึ้นแรงติดต่อ 8 สัปดาห์ นักลงทุนอาจเริ่มขายทำกำไร ซึ่งจะกดดันราคา โดยเฉพาะเมื่อสัญญาณเทคนิคบ่งชี้ภาวะซื้อมากเกินไป
หากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำอาจถูกกดดัน เพราะเมื่อดอลลาร์แข็ง ทองคำจะแพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น
หากเงินเฟ้อไม่ลดลงตามคาด Fed อาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่ตลาดคาดไว้ ซึ่งจะทำให้ทองคำอ่อนค่าลง
กลยุทธ์เทรดทองคำในสถานการณ์ปัจจุบัน
แนวทางที่ 1: รอพักฐานเข้าซื้อ (Buy the Dip)
ราคาไปได้เร็ว อาจมีการพักฐานระยะสั้น รอจังหวะที่ราคาลดมาที่แนวรับ เช่น 3,859 ดอลลาร์ (แนวรับเปิดเดือนตุลาคม) หรือ 3,782 ดอลลาร์
ยืนยันด้วยเครื่องมือเทคนิค เช่น RSI ลดมาใกล้ 50 หรือ MACD ส่งสัญญาณกลับตัวขึ้น
ตัดขาดทุนใต้แนวรับสำคัญถัดไปที่ 3,750 ดอลลาร์ เป้ากำไรไว้ที่จุดสูงสุดเดิมหรือแนวต้านถัดไป
แนวทางที่ 2: ทดสอบจุด Break Out
เมื่อราคาทะลุ 4,000 ดอลลาร์แล้ว อาจมีการกลับมาทดสอบแนวต้านเดิมที่ 3,980-4,000 ดอลลาร์
รอให้แนวนี้ต้านทานได้ (ราคาเด้งขึ้น) และเข้าซื้อเมื่อเห็นแท่งเทียนเป็นบวก
จุดตัดขาดทุนไว้ใต้แนวรับที่ 3,950 ดอลลาร์ เป้าหมายคือ 4,100 ดอลลาร์ขึ้นไป
แนวทางที่ 3: ใช้ Fibonacci Retracement
ลากเส้น Fibonacci จากจุดต่ำ (ประมาณ 3,500 ดอลลาร์) ไปยังจุดสูงสุด (4,059 ดอลลาร์)
มองหาจุดซื้อที่ระดับ 38.2% หรือ 61.8% ซึ่งเป็นแนวรับตามธรรมชาติ
เข้าซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับเหล่านี้และแสดงสัญญาณการกลับตัว
สรุป: ทองคำยังมีพื้นที่ขึ้นเพราะอะไรหลายประการ
ทำไมทองคำถึงขึ้นเพราะอะไร? คำตอบนั้นง่ายคือ สงครามการค้า การเปลี่ยนโครงสร้างระหว่างประเทศ การลดดอกเบี้ย และการซื้อจำนวนมากจากธนาคารกลาง ทั้งหมดนี้ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียว คือ ทองคำยังไปได้ไกลกว่านี้
สถาบันการเงินชั้นนำคาดการณ์ว่า ก่อนสิ้นปี 2569 ราคาทองคำอาจชิงจุด 4,900 ดอลลาร์ ซึ่งแปลว่าสำหรับไทยราคา 75,000-80,000 บาทก็อยู่ในขอบเขตของความเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางอาจมีความผันผวน การขายทำกำไร หรือข่าวประเทศที่อาจทำให้ราคาตัวแปรไป แต่หากเทรนด์หลักยังมั่นคง ทิศทางยังคงเป็นขาขึ้น ดังนั้น การเทรดทองคำในช่วงนี้ต้องเลือกจังหวะให้ดี และอย่าลืมว่าการใจเย็นรอให้จุดเข้าที่ดีมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการโลดเด่นเข้าซื้อแบบไม่สะดวก