## ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) อธิบายแบบง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริง



ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุน คำว่า **ค่าเสื่อมราคา** คงจะเคยเห็นบ่อย ๆ แต่อาจยังไม่เข้าใจว่ามันไปยังไงกันแน่ และทำไมต้องคิดค่านี้ขึ้นมา

ในสั้น ๆ ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คือกระบวนการบัญชีที่ใช้ในการลดมูลค่าของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (เช่น อาคาร เครื่องจักร รถยนต์) ลงไปทีละนิดเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ใช้งาน เพราะว่าสินทรัพย์เหล่านี้ใช้แล้วก็เสื่อมสภาพ หรือเกาะวิวัฒน์ไป เช่นเดียวกับรถยนต์เก่าที่ราคาลดลงเรื่อย ๆ

### ทำไมต้องบัญชีค่าเสื่อมราคา

สำหรับบริษัท ค่าเสื่อมราคาไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุดบันทึก มันมีผลกระทบต่อการคำนวณกำไร (EBIT, EBITDA) และยังส่งผลต่อการยื่นภาษีอีกด้วย

เมื่อคุณซื้อเครื่องจักรราคา 100,000 บาท และคาดว่าใช้ได้ 5 ปี การคิดค่าเสื่อมราคาจะช่วยให้คุณกระจายต้นทุนนี้ออกมา แทนที่จะบันทึกเป็นขาดทุน 100,000 บาทในปีแรก คุณจะคิดเป็น 20,000 บาทต่อปี ซึ่งทำให้ภาพรวมการเงินดูสมเหตุสมผลมากขึ้น

### ความสำคัญของ EBIT และ EBITDA ในบริษัท

**EBIT** (Earnings Before Interest and Taxes) คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี – ค่าเสื่อมราคาก็รวมอยู่ในการคำนวณแล้ว

**EBITDA** (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย – ค่าเสื่อมราคาจะถูกเพิ่มกลับเข้าไป

ความแตกต่างนี้สำคัญเวลาเทียบบริษัทที่มีสินทรัพย์เยอะกับบริษัทที่มีสินทรัพย์น้อย

## ประเภทของสินทรัพย์ และสินทรัพย์ไหนลดราคาได้

### สินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมราคาได้

ถ้าสินทรัพย์มีลักษณะดังนี้ คุณก็สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้:

- **เป็นของคุณครอบครอง** – ไม่ใช่เช่าหรือยืม
- **นำมาใช้ในธุรกิจ** – เพื่อสร้างรายได้
- **มีอายุการใช้งานชัดเจน** – เช่น 5 ปี 10 ปี (ไม่ใช่ทั้งชีวิต)
- **คงอยู่นานกว่า 1 ปี**

ตัวอย่างธรรมชาติ: ยานพาหนะ อาคารสำนักงาน โต๊ะเก้าอี้ คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์

### สินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมราคาไม่ได้

ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็นสินทรัพย์สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้:

- **ที่ดิน** – ที่ดินไม่เสื่อมสภาพ ยิ่งเก่ายิ่งแพง
- **ของสะสม** – ศิลปะ เหรียญ พระเครื่อง
- **หุ้นและพันธบัตร** – การลงทุนด้านการเงิน
- **ทรัพย์สินส่วนตัว** – ไม่ใช่สินทรัพย์ธุรกิจ
- **สินทรัพย์ใช้ไม่ถึง 1 ปี**

## วิธีคิดค่าเสื่อมราคา มีกี่วิธี

บริษัทมีตัวเลือกมากมายในการคำนวณค่าเสื่อมราคา แต่ที่ใช้บ่อย ๆ มี 4 วิธี

### 1. วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)

**ง่ายและใช้กันมากที่สุด**

คิดตรง ๆ เลย: ราคาสินทรัพย์ ÷ จำนวนปี = ค่าเสื่อมราคาต่อปี

**ตัวอย่าง:** ซื้อรถยนต์ 100,000 บาท อายุใช้งาน 5 ปี

ค่าเสื่อมราคา = 100,000 ÷ 5 = **20,000 บาทต่อปี**

**ข้อดี:** ง่ายมาก ถูกต้อง เหมาะสำหรับธุรกิจเล็ก

**ข้อเสีย:** ไม่คำนึงว่าเครื่องจักรสูญเสียมูลค่าเร็วกว่าในปีแรก หรือค่าซ่อมแซมเพิ่มขึ้นเมื่อเก่า

### 2. วิธีลดลงแบบสองเท่า (Double-Declining Balance)

**ใช้กับสินทรัพย์ที่สูญเสียมูลค่าเร็ว**

วิธีนี้คิดค่าเสื่อมราคาสูงในปีแรก แล้วค่อยลดลงไปเรื่อย ๆ – แบบเหมือนรถยนต์โปรแกรมใหม่ที่ราคาตกครั้งใหญ่อันดับแรก

**ตัวอย่าง:** กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เลิกสมัยเร็ว

ปีแรก: คิดค่าเสื่อมราคาสูง ประมาณ 40% ของมูลค่า

ปีที่ 2-5: ค่อยลดลงทีละนิด

**ข้อดี:** สะท้อนความเป็นจริงได้ดี ช่วยลดหย่อนภาษีในปีแรก

**ข้อเสีย:** ซับซ้อนกว่า ไม่เหมาะกับธุรกิจที่บัญชีเรียบง่าย

### 3. วิธีลดค่าเสื่อมราคา (Declining Balance)

**การเร่งการคิดค่าเสื่อมราคา**

เหมือนวิธีสองเท่า แต่ไม่ถึงเร็วขนาดนั้น – คิดค่าเสื่อมราคาเป็นสองเท่าของอัตราเส้นตรง

ปีแรก: ค่าเสื่อมราคาสูง

ปีหลัง ๆ: ค่าเสื่อมราคาลดลง

**ข้อดี:** สมดุลระหว่างง่ายและถูกต้องตามเหตุผล

**ข้อเสีย:** ยังคงซับซ้อนกว่าเส้นตรง

### 4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production)

**ขึ้นอยู่กับการใช้งานจริง ไม่ใช่เวลา**

แทนที่จะคิดตามปี คิดตามจำนวนครั้งที่ใช้สินทรัพย์ – เช่น จำนวนชั่วโมงการทำงาน หรือจำนวนหน่วยที่ผลิตได้

**ตัวอย่าง:** เครื่องจักรที่คาดว่าทำได้ 1,000,000 หน่วยในชีวิต

แล้วปีนี้ผลิตได้ 100,000 หน่วย = คิดค่าเสื่อมราคา 10% ของมูลค่า

**ข้อดี:** ถูกต้องสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้แบบไม่สม่ำเสมอ

**ข้อเสีย:** ยากต่อการติดตามในชีวิตจริง ต้องบันทึกการใช้งานอย่างละเอียด

## ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คืออะไร

**ค่าตัดจำหน่าย** นั้นคล้ายกับค่าเสื่อมราคา แต่ใช้กับ **สินทรัพย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้** เช่น:

- **ลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร** – ลดลงตามระยะเวลา
- **เงินกู้** – ชำระคืนเป็นงวด
- **สิ่งอื่น ๆ ที่ไม่มีตัวตน** – เช่น ความยินดีต่อปัญญา (Goodwill) ที่ซื้อมาจากการควบรวมบริษัท

### ตัวอย่างค่าตัดจำหน่าย

**สินทรัพย์ไม่มีตัวตน:**

สิทธิบัตรสำหรับเครื่องจักร = 10,000 บาท อายุ 10 ปี

ค่าตัดจำหน่าย = 10,000 ÷ 10 = **1,000 บาทต่อปี**

**เงินกู้:**

เงินกู้ 10,000 บาท ชำระคืนปีละ 2,000 บาท

ค่าตัดจำหน่าย = **2,000 บาทต่อปี**

### ประเภทค่าตัดจำหน่าย

**ค่าตัดจำหน่ายเงินกู้** – เมื่อคุณชำระเงินกู้ (เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ) การชำระแต่ละครั้งจะแบ่งออกเป็นสองส่วน:

- ส่วนหนึ่งไปเป็นดอกเบี้ย
- ส่วนที่เหลือลดยอดเงินกู้ (Principal)

ตอนเริ่มต้น คุณจ่ายดอกเบี้ยมากกว่า ยิ่งเข้าไปยัง ยิ่งจ่ายดอกเบี้ยน้อย เงินต้นเพิ่มขึ้น

**ค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน** – ใช้วิธีเส้นตรง กระจายต้นทุนสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (เช่น ลิขสิทธิ์) ออกไปตามอายุการใช้งาน

## เปรียบเทียบค่าเสื่อมราคา vs ค่าตัดจำหน่าย

| ด้าน | ค่าเสื่อมราคา | ค่าตัดจำหน่าย |
|-----|-----------|-----------|
| **นิยาม** | ลดมูลค่าสินทรัพย์จับต้องได้ | ลดมูลค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน/เงินกู้ |
| **วิธีคำนวณ** | เส้นตรง หรือ วิธีเร่ง | ส่วนใหญ่เส้นตรง |
| **ใช้กับ** | อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ | ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เงินกู้ |
| **ระยะเวลา** | ตามอายุการใช้งานทางกายภาพ | ตามสัญญาหรือกำหนด |

## สรุป

**ค่าเสื่อมราคา** และ **ค่าตัดจำหน่าย** เป็นเครื่องมือบัญชีที่สำคัญ ช่วยให้:

1. **กระจายต้นทุน** – แทนที่จะบันทึกขาดทุนทั้งหมดในปีแรก
2. **ภาพรวมการเงินที่สมจริง** – สะท้อนคุณค่าจริงของสินทรัพย์
3. **วางแผนภาษี** – ใช้ค่าเสื่อมราคาเป็นหนึ่งในวิธีลดหย่อนภาษี
4. **เปรียบเทียบบริษัท** – เข้าใจความแตกต่างระหว่าง EBIT และ EBITDA

สำหรับนักลงทุน การเข้าใจวิธีคิดค่าเสื่อมราคา (วิธีไหนบริษัทใช้ และทำไม) จะช่วยให้วิเคราะห์งบการเงินได้ลึกขึ้นและตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น
此頁面可能包含第三方內容,僅供參考(非陳述或保證),不應被視為 Gate 認可其觀點表述,也不得被視為財務或專業建議。詳見聲明
  • 讚賞
  • 留言
  • 轉發
  • 分享
留言
0/400
暫無留言
交易,隨時隨地
qrCode
掃碼下載 Gate App
社群列表
繁體中文
  • 简体中文
  • English
  • Tiếng Việt
  • 繁體中文
  • Español
  • Русский
  • Français (Afrique)
  • Português (Portugal)
  • Bahasa Indonesia
  • 日本語
  • بالعربية
  • Українська
  • Português (Brasil)